อจ. ธนา 28
มีค
- Essence แก่นแท้ เมล็ดพันธ์ที่มีในตัวเรา
เป็นศักยภาพดั้งเดิม ก่อนที่จะถูกกิเลสมาบิดเบือน
- ในความเห็นของ อจ. Holy Virtue (บารมี)
/ Holy Idea (ญาณทัศนะ) ไม่ใช่ Essence ซะทีเดียว
(แตกต่างจากคำอธิบายของทาง Riso)
---------------------------------
9 Essence คือความใส่ใจคนรอบข้าง
ทำให้เห็นประเด็นของคนอื่นเยอะ ละเอียด
เมื่อกิเลสเข้ามาทำงานจึงเกิดความเกียจคร้านในการใส่ใจตัวเอง ข้อมูล overload
จนมึน
ถ้าตั้งมั่นจะดึงพลังในตัวออกมาได้เยอะและเป็นผู้นำที่ดีที่สุดเพราะเห็นภาพรวมและฟังเสียงทุกคน
มี biological rhythm ในการดูแลตัวเองที่ชัดเจน
9 -ผดุงตน (ความอยากเสพ)
การลืมตัวเองไปกับการเสพ
9 -สังคม (การมีส่วนร่วม)
ทำให้สูญเสียตัวเองไปกับกิจกรรมของกลุ่ม
เป็นกิเลสที่แสดงออกในความเกียจคร้านกับตัวเอง
9 -สัมพันธ์ใกล้ชิด (การหลอมรวม)
กิเลสที่แสดงออกในความเกียจคร้านกับตัวเอง
ทำให้ถูกหลอมไปอยู่ภายในคนอื่นจนตัวเองหายไปเลย
---------------------------------
8 Essence มีพละกำลัง และมีสัญชาตญาณในการอยู่รอด
ทำให้ต้องทำทันที ทำสุดๆ เมื่อกิเลสเข้ามาทำให้เยอะเกินไป
ต้องการควบคุมมากเกินพอดี
8 -ผดุงตน (การอยู่รอดที่พึงใจ) เยอะ ตุน
เก็บ เอาให้ชัวร์ จะได้ไม่พลาด
8 -สังคม (มิตรภาพ) การดูแลพวกพ้อง
เหมือนความเป็นกลุ่มของสัตว์ ตายแทนกันได้
หัวหน้าต้องผนึกกำลังของกลุ่มเพื่อสู้กับศัตรูได้ เพื่อน"กู"
พวก"กู" คือตัวเองจะเป็นคนคุมกลุ่ม
8 -สัมพันธ์ใกล้ชิด (การครอบครอง/ศิโรราบ) Life
mate ต้องอยู่กันชั่วชีวิต ทำให้ต้องพิสูจน์/ครอบครองเค้าได้ก่อน
จึงจะยอมศิโรราบให้
---------------------------------
1 Essence มีความตั้งใจดี มีคุณธรรม มีวินัย
ควบคุมตัวเองได้ดี แต่เมื่อกิเลสทำงานทำให้คาดหวังกับตัวเองและสิ่งรอบตัวสูงเกินไป
1 -ผดุงตน (ความกังวล)
จะกังวลจนพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุด งานเยอะก็โกรธ งานน้อยก็โกรธ ...
1 -สังคม (ความไม่ยืดหยุ่น) อุดมคติ
เสี่ยงต่อความผิดพลาด ทำให้โกรธคนที่ไม่ทำตามกฏ/ระเบียบที่งี่เง่า/...
1 -สัมพันธ์ใกล้ชิด (หึงหวง/ร้อนแรง)
อุดมคติ คาดหวังกับตัวเองและคู่ครองสูง
บางทีคาดหวังกับตัวเองและคิดว่าตัวเองไม่ดีพอก็อาจเริ่มหึงหวงคู่เพราะคิดว่าเค้าจะไม่รัก...
---------------------------------
3 Essence แก่นแท้มีความสามารถในการปรับตัวได้ดี
ไฝ่ดี และมุ่งมั่นมาก เมื่อกิเลสเข้ามาเลยทำให้ปรับตัวตามภาพที่ตัวเองอยากจะเป็นได้
3 -ผดุงตน (ความมั่นคง) ในเชิงกิเลส
เป็นเรื่องภาพความมั่นคง และรู้สึกภูมิใจในฐานะ
ทำให้จมไม่ลงเพราะกลัวสังคมไม่ยอมรับ คล้ายๆสุภาษิตไทย
"มีเงินนับว่าน้องมีทองนับว่าพี่" เกลียดคำว่า "กระจอก"
"โหลยโท่ย"
3 -สังคม
(เกียรติยศ/ชื่อเสียง/สถานะทางสังคมในกลุ่มนั้นๆ)
3 -สัมพันธ์ใกล้ชิด (ชายจริง/หญิงแท้)
ปรับภาพให้ตรงกับความคาดหวังคนรัก
---------------------------------
2 Essence แก่นแท้มีความน่ารัก มี interpersonal
skill ในการเข้าหาคน เมื่อกิเลสทำงาน
จึงใช้สิ่งนี้ในการได้ความรัก/ความสนใจจากคนพิเศษ
2 -ผดุงตน (อภิสิทธิ์)
ใส่ใจเรื่องการดูแลคนรอบๆตัว ฟูมฟักดูแล เหมือนเป็น nurturer ทำให้มีอภิสิทธิ์ในการขอได้คล้ายๆ
"แม่"
2 -สังคม (ความทะเยอทะยาน)
เป็นผู้คุมอำนาจในกลุ่ม เป็นคนเชื่อมโยงในกลุ่ม กลุ่มขาดเราไม่ได้ เป็นเจ้ดัน
2 -สัมพันธ์ใกล้ชิด (ยั่วยวน/ก้าวร้าว)
เรื่องอำนาจ
---------------------------------
4 Essence ความจริงแท้
การเข้าถึงแก่นแท้ของความเป็นตัวเอง เข้าใจตัวเองอย่างลึกที่สุด
แต่เมื่อกิเลสทำงาน ทำให้ไม่เข้าใจตัวเองที่สุด จะใส่ใจที่ความพร่อง
มักจะเป็นเรื่องความสัมพันธ์ หรือความสามารถบางอย่างที่อยู่ในตัว จะเกลียดคำว่า
"เสร่อ" "พื้นๆ"
4 -ผดุงตน (กล้าเสี่ยง)
กล้าเสี่ยงทำสิ่งที่ดูเหมือนไม่สมเหตุสมผล
แต่กล้าทำเพื่อแลกกับชีวิตที่ดีกว่า (ในมุมมองของ 4
เอง)
4 -สังคม (ความละอาย/เขิน) วางตัวไม่ถูก
จะเบลนอินก็กลัวจะสูญเสียความเป็นตัวเอง จะออกมาก็ไม่ดี แต่ลึกๆก็ภูมิใจ
และไม่แน่ใจว่าเจ๋งพอรึยัง
4 -สัมพันธ์ใกล้ชิด (แข่งขัน/เกลียดชัง)
ไม่ต้องการให้มีคู่แข่งเหลืออยู่บนโลกนี้ ต้องการครอบครองทั้ง 100%
---------------------------------
6 Essence ช่างสังเกตุ (แต่ต่างจาก 5
เพราะเป็นการมองแบบเพ่ง) และมีจินตนาการที่เด่นชัดมาก มีความไว ความฉลาด
เมื่อกิเลสเข้ามาทำให้เพ่งมากและจินตนาการมากมายเกินจริง
6 -ผดุงตน (ความอบอุ่น) ปรับตัวเข้าหากลุ่ม
เพราะเชื่อว่าการอยู่ในกลุ่มจะปลอดภัย ไม่กล้าปฏิเสธเพราะไม่กล้าขัดใจคนคล้าย 9
แต่แรงจูงใจมาจากความกลัว
6 -สังคม (หน้าที่) ติดกับหน้าที่ที่มาจากความกลัว
ไม่ได้ทำตามธรรมชาติ/ทำจากใจ แต่ทำเพราะความกลัว
6 -สัมพันธ์ใกล้ชิด
(ความแข็งแกร่ง/ความงาม) ปรับตัวให้คนพิเศษยอมรับ
---------------------------------
5 Essence ความช่างคิด ช่างสังเกตุ รักความสงบ/solitude
5 -ผดุงตน (บ้าน)
5 -สังคม (รูปเคารพ) ใช้ความรู้
เป็นอำนาจให้เชื่อมโยงกับผู้คน ทำให้มีความศักดิ์สิทธิ มี boundary ที่คนจะเรียกร้องอย่างอื่นไม่ได้
(อยากจะให้แต่ความรู้)
5 -สัมพันธ์ใกล้ชิด (ความลับเฉพาะ)
เป็นเรื่องของอำนาจในการให้ข้อมูลเฉพาะกับคนสำคัญ
---------------------------------
7 Essence ความเบิกบาน/joy ช่างฝัน
ช่างจินตนาการ พอกิเลสเข้ามาทำงานเลยออกไปหาความสนุก/ความสุขแบบ
7 -ผดุงตน (คนคอเดียวกัน) ทำอะไรเองได้
แต่ก็ชอบมีเพื่อนที่ไม่ขัดคอเรา
7 -สังคม (เสียสละ) ตะกละทางสังคม
ยอมเสียสละเพื่อความสนุกทางความคิด/อุดมการณ์ แล้วแอบไปดูแลตัวเองเป็นครั้งคราว
7 -สัมพันธ์ใกล้ชิด (ความหลงไหล)
เวลาเริ่มรักใครใหม่ๆจะรักภาพที่ตัวเองสร้าง ไม่ได้รักตัวเค้า ทุกอย่างจะดูดีไปหมด
เพราะรักจินตนาการ(อุดมคติ)ของตัวเอง เป็นความตะกละทางความคิด
---------------------------------
กิจกรรม 1: นั่งอยู่กับตัวเอง
ทบทวน
(1) ความเป็นลักษณ์ย่อยในตัวเองที่ผ่านมา
อาจจะเป็นเรื่องเล็กๆ
(2) สิ่งที่คล้ายๆกัน
แต่ไม่ใช่เกิดจากการผลักดันของกิเลส เป็นสิ่งที่เราทำด้วยธรรมชาติตามความเหมาะสม
ไม่เกินเลย
(3) เราสังเกตความแตกต่างของ (1) และ (2) ได้ยังไง
อาจจะเป็นสัญญาณทางกาย หรืออย่างอื่นที่เราเห็นได้ในตัวเอง
ตย.
อจ.บอกว่าเวลาถูกผลักดันด้วยกิเลสจะรู้สึกกระดี้กระด้า/เหมือน "กูเจ๋ง"
จะบีบคั้นตัวเองมากว่าต้องทำให้ได้ และอกหักถ้าไม่เป็นแบบที่ฝัน
แต่ถ้าเป็นไปตามธรรมชาติจะรู้สึกมีพลังอยากทำต่อไป แต่มี "gratitude"
และไม่บีบคั้น รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับกลุ่ม
- 9 การดูแลตัวเอง กับความอยากเสพ(ผดุงตน)
ต่างกันอย่างไร // การมีส่วนร่วมตามธรรมชาติ
แตกต่างจากการสูญเสียความเป็นตัวเองไปเพื่อส่วนรวมต่างกันอย่างไร
- 3 แยกภาพที่ถูกผลักดันตามความเหมาะสม
กับภาพที่อยู่บนความหลอกลวง ได้อย่างไร (จริงๆทุกลักษณ์มีภาพและหลอกลวงตัวเอง/คนอื่นทั้งนั้น)
- etc
กิจกรรม 2: แบ่งกลุ่มย่อย
ตามลักษณ์
- คุยสิ่งที่พบ ในกิจกรรมที่ 1 (กลุ่มละ
2-3 คน เพื่อลงลึก)
กิจกรรม 3: แบ่งกลุ่มย่อย
ตามลักษณ์
กิจกรรม 1: นั่งอยู่กับตัวเอง
ทบทวน
(1) จะเอาความรู้ที่เรียนใน 4-5
วันนี้ ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไรบ้าง
(2) วิธีการหยุดตัวเอง
เวลาเห็น/รู้ตัวว่ากิเลสฉุดเราไป เรามีวิธีจัดการกับ อารมณ์/ความโกรธ/ความกลัว/ฯลฯ
ที่มาครอบงำเราได้ยังไง
กิจกรรม 4: เขียนสิ่งที่คุยในกิจกรรมที่
2 และ 3
วางให้ทุกกลุ่มเดินอ่าน และ (เมี่ยง) จะเก็บไปพิมพ์สรุปแจกทีหลัง
กิจกรรม 5: Panel
- ทบทวนตัวเองว่าการที่เราทำสิ่งต่างๆจากการผลักดันของกิเลสประจำลักษณ์/กิเลสของลักษณ์ย่อย
มันต่างจากการทำจากความเป็นธรรมชาติของตัวเองจริงๆ อย่างไรบ้าง?
3-6-9: ปรับตัว ยอมตาม เพื่อจะได้รับการยอมรับ
// การเติบโตคือการลองเป็นตัวของตัวเอง และลิ้มรสว่ามันรู้สึกยังไง
ทำให้มีกำลังใจในการทำอีก
9: เวลากิเลสพาไป
จะรู้สึกเหมือนเพลิน/จดจ่อกับบางอย่าง ซึ่งจริงๆภายใต้นั้น
จะมีความเซ็ง/เบื่อที่ไม่อยากรับรู้ (ใจไม่โอเค) เหมือนวิญญาณออกจากร่าง
จะเลือกอะไรก็ไม่ชอบซักทางแต่ก็ทำไป -- วิธีการหยุดตัวเอง คือเดินออกมาจากตรงนั้น
// กลับมาอยู่กับพลังของตัวเอง พลังของศูนย์ท้อง
(ถ้าอยู่ที่ความคิดจะเกิดความไม่แน่ใจ) // แสดงออกตามที่คิด/รู้สึกได้
โดยไม่กังวลกับการตอบสนองของคนอื่น // เห็นสิทธิตัวเองมากขึ้น
3: เวลาไม่รู้จะทำอะไร(ขัดเขิน)จะยิ้มเยอะๆ
รู้สึกควบคุมไม่ได้ แต่เวลาเป็นตัวของตัวเองจะสบายๆไม่เยอะเกิน
ทำตามที่รู้สึกจริงๆมากขึ้น // เวลาคนชม Being จะไม่เข้าใจ
เพราะชินกับการยึดคุณค่ากับ Doing ของตัวเอง
เข้าใจยากว่าคนจะรักตัวเองที่ตัวตนที่แท้จริง (being) -- การพบความชื่นชมตัวเอง
ทำให้ไม่ต้องการจากคนอื่น และบอกให้คนอื่นรับรู้ความสำเร็จ
เพราะมันรู้สึกพอด้วยตัวมันเองแล้ว
- อจ. สอนว่า เวลาเกิดประสบการณ์อะไรขึ้น
ไม่ต้องตั้งคำถาม เพราะเรารู้และเรารู้สึกได้ด้วยตัวเอง
6: เวลาที่ความกลัวไม่ครอบงำ จะสามารถ connect
กับประสบการณ์/อารมณ์/ความรู้สึกของตัวเองได้ แต่พักนึงก็จะมีความกลัวกลับมา
-- การเอาความคิดไปสู้ความกลัวยังไงก็ไม่ชนะ (มวยเชิงเดียวกันเอากันไม่ลง)
การเอาชนะความกลัวทำได้ด้วยการลงมือทำ มีสติอยู่กับความกลัวและร่างกาย
ความกลัวยังอยู่แต่ไม่ครอบคลุมเรา ยังก้าวต่อไปได้ทีละก้าว // เวลามีความรัก
ความรู้สึกชนะความกลัว ใจชนะความคิด เวลาวางใจ ไม่ต้อง defence (ตั้งการ์ด)
- อจ. บอกว่า 3/6/9
กลัวความรู้สึกเพราะมันบอกความเป็นตัวเอง ไม่กล้ารู้สึกเพราะอยากปรับตัว
- energy ที่เก็บกด สะสมไว้นานๆจะยิ่งเข้มข้น
ถ้าเคลียร์ไปทีละน้อย จะดีกว่า
2-5-8 เป็นประเด็นเรื่องอำนาจ
ในการใช้อำนาจทำให้เราถูกควบคุมโดยไม่รู้ตัวไปด้วย เช่น 8
ไปควบคุมคนอื่นก็ทำให้ตัวเองติดกับไปกับเค้าและขาดอิสระไปด้วน 2
เอาใจไปผูกกับคนอื่นและก็ทำให้ตัวเองไม่สามารถสัมผัสความต้องการที่แท้จริง
1-4-7 อุดมคติ
1: โดยไม่ตั้งใจ
บางครั้งเราปล่อยให้คนๆนึงมีค่าในการตัดสินเรา และทำให้เราคิดว่าเราไม่ดีพอ --
ปล่อยให้ตัวเองเป็นอิสระ
4:
7: มีคำถามกับตัวเองว่าถ้าผ่านไปได้จะได้อะไร
(กลัวที่จะเจอกับความรู้สึก) จริงๆแล้ว 5 & 7
เป็นลักษณ์ที่ sensitive ที่สุดเลยต้องแยกอารมณ์
และใช้เหตุผลเยอะมาก // ถ้ายอมเข้าไปรับรู้ความรู้สึกของตัวเอง เลิกหนีความกลัวบางอย่างในใจเรา
จะทำให้เราได้สัมผัสกับความจริงบางอย่าง สิ่งที่จะได้ คือการได้ใช้เวลาที่มีคุณค่า
(quality time) กับคนสำคัญ ในเวลาที่เหลืออยู่
และไม่ต้องเสียใจกับเวลาที่ย้อนคืนมาไม่ได้
- น้ำตาเป็นเครื่องแสดงความอ่อนโยนของหัวใจ
บางทีก็เป็นความซาบซึ้ง บางทีก็เป็นความประทับใจการที่ 7
ร้องให้ได้เป็น growth ที่สำคัญ เพราะพอใจอ่อนโยนขึ้น
ช่วยให้เปิดรับอะไรต่างๆได้เยอะ
- ในน้ำตามีความปิติอยู่ในนั้น
สัมผัสความรักที่เค้ามีอยู่ในตัว และสัมผัสความรักในตัวเองได้ด้วย
- เวลานึกถึง moment ที่เราใช้ร่วมกับคนที่เรารักที่สุด
จะไม่ใช่ moment ที่มีแต่ความสุข แต่จะเป็น moment
ที่เกิดความเข้าใจบางอย่างร่วมกัน
By : เปรียบปราณ

