วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

lecture อจ. ธนา 28 มีค


อจ. ธนา 28 มีค
- Essence แก่นแท้ เมล็ดพันธ์ที่มีในตัวเรา เป็นศักยภาพดั้งเดิม ก่อนที่จะถูกกิเลสมาบิดเบือน
- ในความเห็นของ อจ. Holy Virtue (บารมี) / Holy Idea (ญาณทัศนะ) ไม่ใช่ Essence ซะทีเดียว (แตกต่างจากคำอธิบายของทาง Riso)
---------------------------------
9 Essence คือความใส่ใจคนรอบข้าง ทำให้เห็นประเด็นของคนอื่นเยอะ ละเอียด เมื่อกิเลสเข้ามาทำงานจึงเกิดความเกียจคร้านในการใส่ใจตัวเอง ข้อมูล overload จนมึน ถ้าตั้งมั่นจะดึงพลังในตัวออกมาได้เยอะและเป็นผู้นำที่ดีที่สุดเพราะเห็นภาพรวมและฟังเสียงทุกคน มี biological rhythm ในการดูแลตัวเองที่ชัดเจน

9 -ผดุงตน (ความอยากเสพ) การลืมตัวเองไปกับการเสพ

9 -สังคม (การมีส่วนร่วม) ทำให้สูญเสียตัวเองไปกับกิจกรรมของกลุ่ม เป็นกิเลสที่แสดงออกในความเกียจคร้านกับตัวเอง

9 -สัมพันธ์ใกล้ชิด (การหลอมรวม) กิเลสที่แสดงออกในความเกียจคร้านกับตัวเอง ทำให้ถูกหลอมไปอยู่ภายในคนอื่นจนตัวเองหายไปเลย

---------------------------------
8 Essence มีพละกำลัง และมีสัญชาตญาณในการอยู่รอด ทำให้ต้องทำทันที ทำสุดๆ เมื่อกิเลสเข้ามาทำให้เยอะเกินไป ต้องการควบคุมมากเกินพอดี

8 -ผดุงตน (การอยู่รอดที่พึงใจ) เยอะ ตุน เก็บ เอาให้ชัวร์ จะได้ไม่พลาด

8 -สังคม (มิตรภาพ) การดูแลพวกพ้อง เหมือนความเป็นกลุ่มของสัตว์ ตายแทนกันได้ หัวหน้าต้องผนึกกำลังของกลุ่มเพื่อสู้กับศัตรูได้ เพื่อน"กู" พวก"กู" คือตัวเองจะเป็นคนคุมกลุ่ม

8 -สัมพันธ์ใกล้ชิด (การครอบครอง/ศิโรราบ) Life mate ต้องอยู่กันชั่วชีวิต ทำให้ต้องพิสูจน์/ครอบครองเค้าได้ก่อน จึงจะยอมศิโรราบให้

---------------------------------
1 Essence มีความตั้งใจดี มีคุณธรรม มีวินัย ควบคุมตัวเองได้ดี แต่เมื่อกิเลสทำงานทำให้คาดหวังกับตัวเองและสิ่งรอบตัวสูงเกินไป

1 -ผดุงตน (ความกังวล) จะกังวลจนพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุด งานเยอะก็โกรธ งานน้อยก็โกรธ ...

1 -สังคม (ความไม่ยืดหยุ่น) อุดมคติ เสี่ยงต่อความผิดพลาด ทำให้โกรธคนที่ไม่ทำตามกฏ/ระเบียบที่งี่เง่า/...

1 -สัมพันธ์ใกล้ชิด (หึงหวง/ร้อนแรง) อุดมคติ คาดหวังกับตัวเองและคู่ครองสูง บางทีคาดหวังกับตัวเองและคิดว่าตัวเองไม่ดีพอก็อาจเริ่มหึงหวงคู่เพราะคิดว่าเค้าจะไม่รัก...

---------------------------------
3 Essence แก่นแท้มีความสามารถในการปรับตัวได้ดี ไฝ่ดี และมุ่งมั่นมาก เมื่อกิเลสเข้ามาเลยทำให้ปรับตัวตามภาพที่ตัวเองอยากจะเป็นได้

3 -ผดุงตน (ความมั่นคง) ในเชิงกิเลส เป็นเรื่องภาพความมั่นคง และรู้สึกภูมิใจในฐานะ ทำให้จมไม่ลงเพราะกลัวสังคมไม่ยอมรับ คล้ายๆสุภาษิตไทย "มีเงินนับว่าน้องมีทองนับว่าพี่" เกลียดคำว่า "กระจอก" "โหลยโท่ย"

3 -สังคม (เกียรติยศ/ชื่อเสียง/สถานะทางสังคมในกลุ่มนั้นๆ)

3 -สัมพันธ์ใกล้ชิด (ชายจริง/หญิงแท้) ปรับภาพให้ตรงกับความคาดหวังคนรัก

---------------------------------
2 Essence แก่นแท้มีความน่ารัก มี interpersonal skill ในการเข้าหาคน เมื่อกิเลสทำงาน จึงใช้สิ่งนี้ในการได้ความรัก/ความสนใจจากคนพิเศษ

2 -ผดุงตน (อภิสิทธิ์) ใส่ใจเรื่องการดูแลคนรอบๆตัว ฟูมฟักดูแล เหมือนเป็น nurturer ทำให้มีอภิสิทธิ์ในการขอได้คล้ายๆ "แม่"

2 -สังคม (ความทะเยอทะยาน) เป็นผู้คุมอำนาจในกลุ่ม เป็นคนเชื่อมโยงในกลุ่ม กลุ่มขาดเราไม่ได้ เป็นเจ้ดัน

2 -สัมพันธ์ใกล้ชิด (ยั่วยวน/ก้าวร้าว) เรื่องอำนาจ

---------------------------------
4 Essence ความจริงแท้ การเข้าถึงแก่นแท้ของความเป็นตัวเอง เข้าใจตัวเองอย่างลึกที่สุด แต่เมื่อกิเลสทำงาน ทำให้ไม่เข้าใจตัวเองที่สุด จะใส่ใจที่ความพร่อง มักจะเป็นเรื่องความสัมพันธ์ หรือความสามารถบางอย่างที่อยู่ในตัว จะเกลียดคำว่า "เสร่อ" "พื้นๆ"

4 -ผดุงตน (กล้าเสี่ยง) กล้าเสี่ยงทำสิ่งที่ดูเหมือนไม่สมเหตุสมผล  แต่กล้าทำเพื่อแลกกับชีวิตที่ดีกว่า (ในมุมมองของ 4 เอง)

4 -สังคม (ความละอาย/เขิน) วางตัวไม่ถูก จะเบลนอินก็กลัวจะสูญเสียความเป็นตัวเอง จะออกมาก็ไม่ดี แต่ลึกๆก็ภูมิใจ และไม่แน่ใจว่าเจ๋งพอรึยัง

4 -สัมพันธ์ใกล้ชิด (แข่งขัน/เกลียดชัง) ไม่ต้องการให้มีคู่แข่งเหลืออยู่บนโลกนี้ ต้องการครอบครองทั้ง 100%

---------------------------------
6 Essence ช่างสังเกตุ (แต่ต่างจาก 5 เพราะเป็นการมองแบบเพ่ง) และมีจินตนาการที่เด่นชัดมาก มีความไว ความฉลาด เมื่อกิเลสเข้ามาทำให้เพ่งมากและจินตนาการมากมายเกินจริง

6 -ผดุงตน (ความอบอุ่น) ปรับตัวเข้าหากลุ่ม เพราะเชื่อว่าการอยู่ในกลุ่มจะปลอดภัย ไม่กล้าปฏิเสธเพราะไม่กล้าขัดใจคนคล้าย 9 แต่แรงจูงใจมาจากความกลัว

6 -สังคม (หน้าที่) ติดกับหน้าที่ที่มาจากความกลัว ไม่ได้ทำตามธรรมชาติ/ทำจากใจ แต่ทำเพราะความกลัว

6 -สัมพันธ์ใกล้ชิด (ความแข็งแกร่ง/ความงาม) ปรับตัวให้คนพิเศษยอมรับ

---------------------------------
5 Essence ความช่างคิด ช่างสังเกตุ รักความสงบ/solitude

5 -ผดุงตน (บ้าน)

5 -สังคม (รูปเคารพ) ใช้ความรู้ เป็นอำนาจให้เชื่อมโยงกับผู้คน ทำให้มีความศักดิ์สิทธิ มี boundary ที่คนจะเรียกร้องอย่างอื่นไม่ได้ (อยากจะให้แต่ความรู้)

5 -สัมพันธ์ใกล้ชิด (ความลับเฉพาะ) เป็นเรื่องของอำนาจในการให้ข้อมูลเฉพาะกับคนสำคัญ

---------------------------------
7 Essence ความเบิกบาน/joy ช่างฝัน ช่างจินตนาการ พอกิเลสเข้ามาทำงานเลยออกไปหาความสนุก/ความสุขแบบ

7 -ผดุงตน (คนคอเดียวกัน) ทำอะไรเองได้ แต่ก็ชอบมีเพื่อนที่ไม่ขัดคอเรา

7 -สังคม (เสียสละ) ตะกละทางสังคม ยอมเสียสละเพื่อความสนุกทางความคิด/อุดมการณ์ แล้วแอบไปดูแลตัวเองเป็นครั้งคราว

7 -สัมพันธ์ใกล้ชิด (ความหลงไหล) เวลาเริ่มรักใครใหม่ๆจะรักภาพที่ตัวเองสร้าง ไม่ได้รักตัวเค้า ทุกอย่างจะดูดีไปหมด เพราะรักจินตนาการ(อุดมคติ)ของตัวเอง เป็นความตะกละทางความคิด
---------------------------------
กิจกรรม 1: นั่งอยู่กับตัวเอง ทบทวน
(1) ความเป็นลักษณ์ย่อยในตัวเองที่ผ่านมา อาจจะเป็นเรื่องเล็กๆ
(2) สิ่งที่คล้ายๆกัน แต่ไม่ใช่เกิดจากการผลักดันของกิเลส เป็นสิ่งที่เราทำด้วยธรรมชาติตามความเหมาะสม ไม่เกินเลย
(3) เราสังเกตความแตกต่างของ (1) และ  (2) ได้ยังไง อาจจะเป็นสัญญาณทางกาย หรืออย่างอื่นที่เราเห็นได้ในตัวเอง

ตย. อจ.บอกว่าเวลาถูกผลักดันด้วยกิเลสจะรู้สึกกระดี้กระด้า/เหมือน "กูเจ๋ง" จะบีบคั้นตัวเองมากว่าต้องทำให้ได้ และอกหักถ้าไม่เป็นแบบที่ฝัน แต่ถ้าเป็นไปตามธรรมชาติจะรู้สึกมีพลังอยากทำต่อไป แต่มี "gratitude" และไม่บีบคั้น รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับกลุ่ม

- 9 การดูแลตัวเอง กับความอยากเสพ(ผดุงตน) ต่างกันอย่างไร // การมีส่วนร่วมตามธรรมชาติ แตกต่างจากการสูญเสียความเป็นตัวเองไปเพื่อส่วนรวมต่างกันอย่างไร
- 3 แยกภาพที่ถูกผลักดันตามความเหมาะสม กับภาพที่อยู่บนความหลอกลวง ได้อย่างไร (จริงๆทุกลักษณ์มีภาพและหลอกลวงตัวเอง/คนอื่นทั้งนั้น)
- etc

กิจกรรม 2: แบ่งกลุ่มย่อย ตามลักษณ์
- คุยสิ่งที่พบ ในกิจกรรมที่ 1 (กลุ่มละ 2-3 คน เพื่อลงลึก)

กิจกรรม 3: แบ่งกลุ่มย่อย ตามลักษณ์

กิจกรรม 1: นั่งอยู่กับตัวเอง ทบทวน
(1) จะเอาความรู้ที่เรียนใน 4-5 วันนี้ ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไรบ้าง
(2) วิธีการหยุดตัวเอง เวลาเห็น/รู้ตัวว่ากิเลสฉุดเราไป เรามีวิธีจัดการกับ อารมณ์/ความโกรธ/ความกลัว/ฯลฯ ที่มาครอบงำเราได้ยังไง

กิจกรรม 4: เขียนสิ่งที่คุยในกิจกรรมที่ 2 และ  3 วางให้ทุกกลุ่มเดินอ่าน และ (เมี่ยง) จะเก็บไปพิมพ์สรุปแจกทีหลัง

กิจกรรม 5: Panel
- ทบทวนตัวเองว่าการที่เราทำสิ่งต่างๆจากการผลักดันของกิเลสประจำลักษณ์/กิเลสของลักษณ์ย่อย มันต่างจากการทำจากความเป็นธรรมชาติของตัวเองจริงๆ อย่างไรบ้าง?

3-6-9: ปรับตัว ยอมตาม เพื่อจะได้รับการยอมรับ // การเติบโตคือการลองเป็นตัวของตัวเอง และลิ้มรสว่ามันรู้สึกยังไง ทำให้มีกำลังใจในการทำอีก

9: เวลากิเลสพาไป จะรู้สึกเหมือนเพลิน/จดจ่อกับบางอย่าง ซึ่งจริงๆภายใต้นั้น จะมีความเซ็ง/เบื่อที่ไม่อยากรับรู้ (ใจไม่โอเค) เหมือนวิญญาณออกจากร่าง จะเลือกอะไรก็ไม่ชอบซักทางแต่ก็ทำไป -- วิธีการหยุดตัวเอง คือเดินออกมาจากตรงนั้น // กลับมาอยู่กับพลังของตัวเอง พลังของศูนย์ท้อง (ถ้าอยู่ที่ความคิดจะเกิดความไม่แน่ใจ) // แสดงออกตามที่คิด/รู้สึกได้ โดยไม่กังวลกับการตอบสนองของคนอื่น // เห็นสิทธิตัวเองมากขึ้น

3: เวลาไม่รู้จะทำอะไร(ขัดเขิน)จะยิ้มเยอะๆ รู้สึกควบคุมไม่ได้ แต่เวลาเป็นตัวของตัวเองจะสบายๆไม่เยอะเกิน ทำตามที่รู้สึกจริงๆมากขึ้น // เวลาคนชม Being จะไม่เข้าใจ เพราะชินกับการยึดคุณค่ากับ Doing ของตัวเอง เข้าใจยากว่าคนจะรักตัวเองที่ตัวตนที่แท้จริง (being) -- การพบความชื่นชมตัวเอง ทำให้ไม่ต้องการจากคนอื่น และบอกให้คนอื่นรับรู้ความสำเร็จ เพราะมันรู้สึกพอด้วยตัวมันเองแล้ว
- อจ. สอนว่า เวลาเกิดประสบการณ์อะไรขึ้น ไม่ต้องตั้งคำถาม เพราะเรารู้และเรารู้สึกได้ด้วยตัวเอง

6: เวลาที่ความกลัวไม่ครอบงำ จะสามารถ connect กับประสบการณ์/อารมณ์/ความรู้สึกของตัวเองได้ แต่พักนึงก็จะมีความกลัวกลับมา -- การเอาความคิดไปสู้ความกลัวยังไงก็ไม่ชนะ (มวยเชิงเดียวกันเอากันไม่ลง) การเอาชนะความกลัวทำได้ด้วยการลงมือทำ มีสติอยู่กับความกลัวและร่างกาย ความกลัวยังอยู่แต่ไม่ครอบคลุมเรา ยังก้าวต่อไปได้ทีละก้าว // เวลามีความรัก ความรู้สึกชนะความกลัว ใจชนะความคิด เวลาวางใจ ไม่ต้อง defence (ตั้งการ์ด)
- อจ. บอกว่า 3/6/9 กลัวความรู้สึกเพราะมันบอกความเป็นตัวเอง ไม่กล้ารู้สึกเพราะอยากปรับตัว
- energy ที่เก็บกด สะสมไว้นานๆจะยิ่งเข้มข้น ถ้าเคลียร์ไปทีละน้อย จะดีกว่า

2-5-8 เป็นประเด็นเรื่องอำนาจ ในการใช้อำนาจทำให้เราถูกควบคุมโดยไม่รู้ตัวไปด้วย เช่น 8 ไปควบคุมคนอื่นก็ทำให้ตัวเองติดกับไปกับเค้าและขาดอิสระไปด้วน 2 เอาใจไปผูกกับคนอื่นและก็ทำให้ตัวเองไม่สามารถสัมผัสความต้องการที่แท้จริง

1-4-7 อุดมคติ

1: โดยไม่ตั้งใจ บางครั้งเราปล่อยให้คนๆนึงมีค่าในการตัดสินเรา และทำให้เราคิดว่าเราไม่ดีพอ -- ปล่อยให้ตัวเองเป็นอิสระ

4:

7: มีคำถามกับตัวเองว่าถ้าผ่านไปได้จะได้อะไร (กลัวที่จะเจอกับความรู้สึก) จริงๆแล้ว 5 & 7 เป็นลักษณ์ที่ sensitive ที่สุดเลยต้องแยกอารมณ์ และใช้เหตุผลเยอะมาก // ถ้ายอมเข้าไปรับรู้ความรู้สึกของตัวเอง เลิกหนีความกลัวบางอย่างในใจเรา จะทำให้เราได้สัมผัสกับความจริงบางอย่าง สิ่งที่จะได้ คือการได้ใช้เวลาที่มีคุณค่า (quality time) กับคนสำคัญ ในเวลาที่เหลืออยู่ และไม่ต้องเสียใจกับเวลาที่ย้อนคืนมาไม่ได้

- น้ำตาเป็นเครื่องแสดงความอ่อนโยนของหัวใจ บางทีก็เป็นความซาบซึ้ง บางทีก็เป็นความประทับใจการที่ 7 ร้องให้ได้เป็น growth ที่สำคัญ เพราะพอใจอ่อนโยนขึ้น ช่วยให้เปิดรับอะไรต่างๆได้เยอะ
- ในน้ำตามีความปิติอยู่ในนั้น สัมผัสความรักที่เค้ามีอยู่ในตัว และสัมผัสความรักในตัวเองได้ด้วย
- เวลานึกถึง moment ที่เราใช้ร่วมกับคนที่เรารักที่สุด จะไม่ใช่ moment ที่มีแต่ความสุข แต่จะเป็น moment ที่เกิดความเข้าใจบางอย่างร่วมกัน

By : เปรียบปราณ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น